คุณรู้จักดาวโจนส์ (DJIA) ดีแค่ไหน? สำรวจประวัติ บทบาท และอนาคตของดัชนีระดับตำนาน

28/08/2568
การเงิน-ธุรกิจ

เคยไหมที่ได้ยินคำว่า "ดาวโจนส์" บนหน้าข่าวเศรษฐกิจ หรือเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญพูดถึงทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก? บางคนอาจจะคิดว่าเป็นชื่อบริษัท บางคนอาจจะเดาว่าเป็นตลาดหุ้นใหญ่ๆ แห่งหนึ่ง แต่แท้จริงแล้ว ดาวโจนส์ หรือที่รู้จักกันเต็มๆ ว่า ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average - DJIA) นั้นคืออะไร? ทำไมมันถึงสำคัญนัก และมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจเบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้?


วันนี้สินเชื่อพรอมิสจะมาพาทุกคนไปเจาะลึกเรื่องราวของ “ดาวโจนส์” ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่อาจทำให้คุณประหลาดใจ ไปจนถึงบทบาทในปัจจุบัน และทิศทางในอนาคตที่นักลงทุนทุกคนควรรู้

ตำนานเริ่มต้น: จากยุคเหล็กสู่ดัชนีระดับโลก

เรื่องราวของ ดาวโจนส์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1896 โดย ชาร์ลส์ ดาว (Charles Dow) ผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal และบริษัท Dow Jones & Company เขาไม่ได้สร้าง ดาวโจนส์ ขึ้นมาเพื่อวัดผลบริษัทเทคโนโลยีล้ำสมัยเหมือนตอนนี้ แต่เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกาในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ลองนึกภาพดูสิครับว่าบริษัทในยุคนั้นคืออะไร? ก็คือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ "อุตสาหกรรมหนัก" เช่น รถไฟ น้ำมัน และน้ำตาล


ในตอนแรก ดาวโจนส์ มีเพียง 12 บริษัท เท่านั้น! ใช่ครับ อ่านไม่ผิดครับ แค่ 12 บริษัทเท่านั้นที่ถูกรวมอยู่ในดัชนีนี้ ซึ่งน้อยกว่า 30 บริษัทที่เราเห็นในปัจจุบันมาก และที่น่าสนใจคือ บริษัทที่เคยเป็นสมาชิกดั้งเดิมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในดัชนีอีกต่อไปแล้ว มีเพียงบริษัทเดียวที่ยังคงอยู่มาถึงวันนี้ นั่นคือ General Electric (GE) ซึ่งก็เพิ่งถูกถอดออกไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

ดาวโจนส์ทำงานอย่างไร? ไม่ใช่แค่การถ่วงน้ำหนักธรรมดา

หลายคนอาจจะเข้าใจว่า ดาวโจนส์ ก็แค่เอา ราคาหุ้น ของ 30 บริษัทมาบวกกันแล้วหารด้วย 30 เหมือนค่าเฉลี่ยทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมันซับซ้อนกว่านั้นเล็กน้อยครับ


ดาวโจนส์ เป็นดัชนีแบบ "ถ่วงน้ำหนักด้วยราคา" (Price-Weighted Index) ซึ่งหมายความว่า หุ้นของบริษัทที่มีราคาต่อหุ้นสูงกว่า จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีราคาต่อหุ้นต่ำกว่า ไม่ได้ดูที่มูลค่าตลาดรวมของบริษัท (Market Cap) เหมือนดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500


การที่บริษัทมีการแตกหุ้น (Stock Split) หรือควบรวมกิจการ จะส่งผลกระทบต่อการคำนวณดัชนี ดังนั้นจึงต้องมีการปรับ "ตัวหาร" (Divisor) เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัวเลขที่เราเห็นนั้นไม่ได้มาจากค่าเฉลี่ยตรงๆ แต่อยู่ภายใต้การคำนวณที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก เพื่อคงความต่อเนื่องของข้อมูล

คุณรู้จักดาวโจนส์ดีแค่ไหน

บทบาทของดาวโจนส์: มากกว่าแค่ตัวเลขบนจอ

ดาวโจนส์ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น "ตัวบ่งชี้สุขภาพ" (Health Indicator) ของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และด้วยขนาดเศรษฐกิจของอเมริกาที่มีอิทธิพลต่อทั่วโลก ดาวโจนส์ จึงมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจโลก เลยทีเดียว


เมื่อ ดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น มักจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน การเติบโตของบริษัทขนาดใหญ่ และภาพรวมเศรษฐกิจที่สดใส ในทางกลับกัน การปรับตัวลงก็อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือความกังวลในตลาด


แม้ว่าจะมีดัชนีอื่นๆ ที่ครอบคลุมและซับซ้อนกว่าอย่าง S&P 500 หรือ Nasdaq แต่ ดาวโจนส์ ก็ยังคงเป็นดัชนีที่ได้รับความสนใจและถูกอ้างอิงถึงบ่อยที่สุดในสื่อกระแสหลัก ด้วยความเรียบง่ายและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายกว่า


นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกมักจะมีความสัมพันธ์กันในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างตลาดดาวโจนส์และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เช่นไทย ซึ่งก็จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่สอดคล้องกันเช่นกัน เราจึงแบ่งความสัมพันธ์หลักๆได้เป็น 2 แบบ คือ

1. ความสัมพันธ์ในเชิงบวก (Positive Correlation)

หากดาวโจนส์มีทิศทางขาขึ้น ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมักจะเข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่เมื่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมดีขึ้น

2. ความสัมพันธ์ในเชิงลบ (Negative Correlation)

ในบางช่วงเวลาที่นักลงทุนเกิดความกังวลหรือมีความเสี่ยงเกิดขึ้นในสหรัฐฯ เงินลงทุนอาจไหลออกจากตลาดสหรัฐฯ และไหลเข้าสู่ตลาดอื่นๆ ทำให้ดัชนีทั้งสองเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามได้ด้วยเช่นกัน

อนาคตของดาวโจนส์: ยังคงเป็นดัชนีหลักที่ต้องจับตา?

ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโลก บริษัทใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย คำถามคือ ดาวโจนส์ ซึ่งเน้นบริษัทอุตสาหกรรมดั้งเดิม จะยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจได้อย่างแม่นยำแค่ไหน?


สิ่งที่น่าสนใจคือ คณะกรรมการของ ดาวโจนส์ มีการปรับเปลี่ยนรายชื่อบริษัทสมาชิกอยู่เสมอ เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพเศรษฐกิจปัจจุบันให้มากที่สุด เราจึงเห็นบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทบริการยักษ์ใหญ่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีมากขึ้นเรื่อยๆ แทนที่บริษัทอุตสาหกรรมเก่าแก่


การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ ดาวโจนส์ ยังคงมีความเกี่ยวข้องและสำคัญต่อการวิเคราะห์ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลกต่อไป แม้จะมีดัชนีที่ซับซ้อนกว่า แต่ความ "ขลัง" และ "ประวัติศาสตร์" ของ ดาวโจนส์ ก็ยังคงทำให้มันเป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจและใช้เป็นสัญญาณสำคัญในการตัดสินใจลงทุน

สรุปส่งท้าย

ดาวโจนส์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ บนหน้าจอ แต่คือประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต คือเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และคือดัชนีที่ยังคงส่งสัญญาณสำคัญถึงสุขภาพของเศรษฐกิจโลก หากคุณเป็นนักลงทุน หรือสนใจเรื่องเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจ ดาวโจนส์ จะช่วยให้คุณมีมุมมองที่กว้างขึ้น และตัดสินใจลงทุนใน หุ้น ได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น


คุณล่ะครับ หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว มอง ดาวโจนส์ แตกต่างไปจากเดิมไหม? มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะ แต่หากใครที่กำลังมองหาเงินกู้ออนไลน์ถูกกฎหมาย สมัครง่ายผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ ก็ขอแนะนำสินเชื่อพรอมิสให้เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยคุณได้ ด้วยการอนุมัติทันใจใน 1 ชั่วโมง* วงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท* ใช้เพียงบัตรประชาชนและสลิปเงินเดือน 2 เดือนล่าสุด โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน แต่ต้องย้ำไว้เสมอว่าควรกู้เท่าที่จำเป็นและสามารถชำระคืนได้เท่านั้น

 

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
ดอกเบี้ย 15%-25% ต่อปี
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ศึกษาเพิ่มเติม promise.co.th
*1 ชั่วโมง เมื่อยื่นเอกสารครบก่อน 18.00 น. และไม่มีเหตุขัดข้อง

Tags: ดาวโจนส์ การลงทุน เศรษฐกิจ สินเชื่อพรอมิส

พร้อมรู้กับพรอมิส