กองทุน Thai ESG ลดหย่อนภาษีปี 2568: มาดูกันปังหรือพัง!!

25/07/2568
การเงิน-ธุรกิจ

การวางแผนภาษีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพนักงานประจำทุกคน ยิ่งเราสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มที่ ก็ยิ่งช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น และในปี 2568 นี้ กองทุน Thai ESG (Thailand ESG Fund) ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือลดหย่อนภาษีที่น่าสนใจ แต่คำถามคือ "ปัง" หรือ "พัง" วันนี้สินเชื่อพรอมิส พามาเจาะลึกกันเลยดีกว่า

กองทุน Thai ESG คืออะไร? เข้าใจง่าย ๆ ใน 3 นาที


กองทุน Thai ESG (Thailand ESG Fund) หรือ "กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน" คือ กองทุนรวมประเภทหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการลงทุนในกิจการที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG ซึ่งย่อมาจาก:

  • E (Environmental): สิ่งแวดล้อม เช่น การลดมลพิษ การใช้พลังงานหมุนเวียน
  • S (Social): สังคม เช่น การดูแลพนักงาน ความรับผิดชอบต่อชุมชน
  • G (Governance): ธรรมาภิบาล เช่น การบริหารจัดการโปร่งใส การต่อต้านคอร์รัปชัน


จุดเด่นสำคัญ ของกองทุน Thai ESG คือ ผู้ลงทุนสามารถนำเงินลงทุนมา หักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท และมีระยะเวลาการถือครองที่สั้นกว่ากองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่น ๆ คือเพียง 5 ปีนับจากวันซื้อ ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี ทำให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนภาษีพร้อมกับการลงทุนที่ส่งเสริมความยั่งยืนของประเทศ

กองทุน Thai ESG: ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่ต้องรู้

มาดูปัจจัยต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า Thai ESG "ปัง" หรือ "พัง" สำหรับคุณ

ข้อดีของกองทุน Thai ESG

  1. ลดหย่อนภาษีได้จริง: เป็นเครื่องมือช่วยลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งช่วยประหยัดภาษีได้มาก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในฐานภาษีสูง
     
  2. ระยะเวลาถือครองสั้น: เพียง 5 ปีนับจากวันซื้อ ซึ่งสั้นกว่า SSF (10 ปี) และ RMF (อายุ 55 ปีบริบูรณ์และถือครองอย่างน้อย 5 ปี) ทำให้สภาพคล่องดีกว่า
     
  3. สนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืน: คุณได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
     
  4. โอกาสสร้างผลตอบแทน: แม้จะเป็นกองทุนที่เน้น ESG แต่ก็ยังคงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่กองทุนนั้น ๆ ไปลงทุน (เช่น หุ้นไทย, ตราสารหนี้ไทย)
     
  5. ไม่บังคับซื้อต่อเนื่อง: แตกต่างจาก RMF ที่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปีหรือเกือบทุกปี

ข้อเสียของกองทุน Thai ESG

  1. จำกัดการลงทุนในสินทรัพย์ไทย: กองทุน Thai ESG จะลงทุนเฉพาะในสินทรัพย์ของบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่เข้าเกณฑ์ ESG เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ขาดโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง
     
  2. ความเสี่ยงจากการลงทุน: เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาด หรือขาดทุนได้ ขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ที่กองทุนนั้น ๆ ลงทุน (หุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้)
     
  3. สภาพคล่องต่ำในระยะสั้น: แม้จะถือครองเพียง 5 ปี แต่ก็ยังเป็นการลงทุนระยะกลาง ผู้ที่ต้องการใช้เงินในระยะเวลาอันใกล้อาจไม่เหมาะ
     
  4. เงื่อนไขการลงทุนที่ต้องทำความเข้าใจ: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขการลงทุนให้ดี เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีครบถ้วน หากผิดเงื่อนไขอาจต้องคืนเงินลดหย่อนพร้อมเงินเพิ่ม

ความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

  • ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): มูลค่าหน่วยลงทุนอาจลดลงได้จากการเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดโดยรวม
     
  • ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): สำหรับกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ หากผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจส่งผลให้เกิดการผิดนัดชำระ
     
  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): อาจเกิดจากการที่กองทุนไม่สามารถซื้อหรือขายตราสารได้ในราคาที่เหมาะสม หรือในเวลาที่ต้องการได้
     
  • ความเสี่ยงเฉพาะตัวของหุ้น (Specific Stock Risk): หากกองทุนลงทุนในหุ้นรายตัวที่ได้รับผลกระทบทางลบ ก็อาจส่งผลต่อภาพรวมของกองทุนได้
     
  • ความเสี่ยงด้าน ESG Criteria: การคัดเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติ ESG อาจมีข้อจำกัดหรือแตกต่างกันไปในแต่ละกองทุน

จับตา! SET Index: ทำไมไม่ไปไหนมาหลายปี? และเปรียบเทียบผลตอบแทนสินทรัพย์อื่น ๆ

ประเด็นที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจคือ ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ที่ดูเหมือนจะ "ย่ำอยู่กับที่" มานานหลายปี สร้างความกังวลให้กับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่า

ทำไม SET Index ถึงไม่ไปไหน?

มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา:

  1. เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า: ปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่าง เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย, หนี้ครัวเรือนสูง, การขาดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
     
  2. ความไม่แน่นอนทางการเมือง: ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศที่ขาดเสถียรภาพ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและการตัดสินใจลงทุนในระยะยาว
     
  3. การไหลออกของเงินทุนต่างชาติ (Fund Outflow): นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน สะท้อนถึงความไม่น่าสนใจของตลาดหุ้นไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ
     
  4. ปัญหาธรรมาภิบาลในบางบริษัท: กรณีการทุจริตของผู้บริหารของบางบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง
     
  5. การแข่งขันและเทคโนโลยี: ธุรกิจดั้งเดิมของไทยบางส่วนเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระแสเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัลได้ทัน

ตารางเปรียบเทียบผลตอบแทนสินทรัพย์ต่างๆ (ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี: สิ้นปี 2019 - สิ้นปี 2024 โดยประมาณ)

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น สินเชื่อพรอมิสจะขอนำผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มาให้ทุกคนได้ดู (ตัวเลขเหล่านี้เป็นค่าประมาณจากช่วงปี 2020-2024 และอาจแตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูลและช่วงเวลาที่ใช้คำนวณ) โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลทางการเงินต่างๆ เช่น Investing.com, FinVest, InnovestX, ThaiBMA และ Amarin TV:

สินทรัพย์ ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (2020-2024) โดยประมาณ แหล่งที่มาอ้างอิง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) 13% - 15% InnovestX, Finnomena, Investing.com (คำนวณจากข้อมูลย้อนหลัง)
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) 12% - 15% Investing.com, TradingView (คำนวณจากข้อมูลย้อนหลัง)
ทองคำ 8% - 10% Amarin TV (บทความ), Wealthy Thai (บทความ), Investing.com (คำนวณจากข้อมูลย้อนหลัง)
ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) 5% - 8% (ผันผวนสูง) Principal, TradingView (คำนวณจากข้อมูลย้อนหลัง)
ตลาดหุ้นยุโรป (STOXX Europe 600) 5% - 8% Finnomena, Investing.com (คำนวณจากข้อมูลย้อนหลัง)
ตลาดหุ้นไทย (SET Index) -5% ถึง +5% (ผันผวนและมีช่วงติดลบ) InnovestX, Investing.com, SETTRADE.COM (คำนวณจากข้อมูลย้อนหลังของดัชนี)
พันธบัตรรัฐบาลไทย 1.5% - 2.5% ThaiBMA (สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย), Investing.com (คำนวณจากข้อมูล Bond Yield ย้อนหลัง)
เงินฝากประจำไทย 0.5% - 1.5% Investing.com (ข้อมูลอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์)

หมายเหตุ: ตารางนี้เป็นเพียงค่าประมาณการจากข้อมูลย้อนหลังในช่วงปี 2020-2024 ซึ่งผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ และตัวเลขอาจแตกต่างกันไปตามแหล่งที่มาของข้อมูล รวมถึงช่วงเวลาที่ใช้คำนวณที่แม่นยำ

จากตารางจะเห็นได้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2020-2024) ตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีผลตอบแทนที่ค่อนข้างทรงตัวและมีช่วงที่ติดลบเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว หรือแม้แต่ตลาดหุ้นในภูมิภาคบางแห่งที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ลงทุนหลายรายเริ่มหันไปมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน

เจาะลึก: หุ้นในกองทุน Thai ESG vs. SET Index ผลตอบแทนเป็นอย่างไร?

แม้ว่ากองทุน Thai ESG จะลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจคือ หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ากองทุน ESG มักจะเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ และคำนึงถึงความยั่งยืน ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนแตกต่างจาก SET Index โดยรวม

ผลตอบแทนของหุ้นในกองทุน Thai ESG โดยรวม มักจะ (แต่ไม่เสมอไป) มีแนวโน้มดีกว่า SET Index เล็กน้อยในบางช่วงเวลา เนื่องจาก:

  • การคัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพ: กองทุน ESG จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีธรรมาภิบาลดี มีผลประกอบการที่ยั่งยืน และมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับกระแส ESG ซึ่งมักจะเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ
     
  • ความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ: บริษัทที่มีคุณสมบัติ ESG โดดเด่น อาจดึงดูดนักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศที่เน้นการลงทุนอย่างยั่งยืนได้มากขึ้น
     
  • ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า: บริษัทที่บริหารจัดการตามหลัก ESG มักจะมีภาพลักษณ์ที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่น้อยกว่า ซึ่งอาจช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นได้ในระยะยาว

ตัวอย่างผลการดำเนินงาน (บางส่วน):

ข้อมูลจาก InnovestX (ณ 28 ก.พ. 2565) พบว่า ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นไทยที่เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นคุณภาพ ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2020-2024) เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8.7% เมื่อเทียบกับ SET Index ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหุ้นที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีมีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดโดยรวมได้

นอกจากนี้ รายงานจาก Nation Thailand (ณ 27 พ.ค. 2568) ระบุว่า SETESG Index (ดัชนีที่สะท้อนผลตอบแทนของหุ้น ESG ในตลาดหลักทรัพย์ไทย) มีการปรับตัวลดลงน้อยกว่า SET Index และ SET50 Index ในช่วงต้นปี 2568 (ณ 27 พ.ค. 2568: SETESG Index ลดลง 14.98% เทียบกับ SET Index ลดลง 16.91% และ SET50 ลดลง 16.28%) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าหุ้นกลุ่ม ESG มีความทนทานต่อสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยได้ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การเลือกลงทุนในกองทุน Thai ESG ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทยโดยรวม และผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคตเสมอไป

ประเด็นลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESG ปี 2568: สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น!

ลดหย่อนภาษีของกองทุน

สำหรับปีภาษี 2568 นี้ สินเชื่อพรอมิสมีข่าวดีสำหรับผู้ที่มองหาช่องทางลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากกองทุนกลุ่ม ESG
โดยสรุปแล้ว ในปี 2568 คุณอาจมีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากกองทุนกลุ่ม Thai ESG ได้สูงสุดถึง 900,000 บาท (ไม่รวมกับวงเงิน RMF/SSF ที่มีอยู่แล้ว)

1. กองทุน Thai ESG (แบบเดิม)

  • วงเงินลดหย่อน: ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
  • เงื่อนไข: ถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปีนับจากวันซื้อ
  • ระยะเวลาโครงการ: มาตรการนี้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2569

กองทุน Thai ESGX (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ)

นี่คือมาตรการใหม่ที่เพิ่มเข้ามาสำหรับปี 2568 โดยเฉพาะ เพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นไทยและให้ทางเลือกเพิ่มเติมแก่ผู้ลงทุน LTF เดิม


   - วงเงินที่ 1: สำหรับเงินลงทุนใหม่ใน Thai ESGX (เฉพาะปี 2568)

  • วงเงินลดหย่อน: ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
  • เงื่อนไข: ต้องลงทุนในช่วงระยะเวลาที่กำหนด (คาดการณ์ว่าคือ 1 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2568) และถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับจากวันที่ซื้อ)
  • สถานะ: เป็นวงเงินลดหย่อนที่ "แยกต่างหาก" จาก Thai ESG เดิมและ RMF/SSF/อื่นๆ ทำให้สามารถลดหย่อนได้เพิ่มขึ้น
  • ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป: เงินลงทุนใหม่ใน Thai ESGX จะใช้วงเงินและเงื่อนไขเดียวกันกับกองทุน Thai ESG ปกติ (สูงสุด 300,000 บาท ไม่รวมกับ RMF/SSF)

    - วงเงินที่ 2: สำหรับผู้ที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF เดิม มาเป็น Thai ESGX (เฉพาะปี 2568)

  • วัตถุประสงค์: เพื่อช่วยผู้ถือ LTF เดิมที่ใกล้ครบกำหนดขาย หรือต้องการเปลี่ยนมาลดหย่อนภาษีต่อ
  • วงเงินลดหย่อน: สูงสุด 500,000 บาท (ไม่จำกัด 30% ของเงินได้พึงประเมินเหมือนกองทุนอื่น)
  • การแบ่งสิทธิ์ลดหย่อน:
    -  ปี 2568: ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท
    -  ปี 2569 - 2572 (อีก 4 ปี): ลดหย่อนได้ปีละ 50,000 บาท
  • เงื่อนไข:
         -  ต้องสับเปลี่ยน LTF ทุกกองทุนที่ถืออยู่ทั้งหมด (ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ ครม. อนุมัติหลักการ)
         -  มาเป็น Thai ESGX ภายในช่วงเวลาที่กำหนด (คาดการณ์ว่าคือ พฤษภาคม - มิถุนายน 2568)
         -  ต้องถือครองหน่วยลงทุน Thai ESGX ที่สับเปลี่ยนมานั้น อย่างน้อย 5 ปี นับจากวันที่สับเปลี่ยน
         -  หากสับเปลี่ยนไม่ครบทั้งหมด หรือมีการขาย LTF เดิมหลังวันที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิ์ในวงเงินนี้
         -  หากยอด LTF ที่สับเปลี่ยนต่ำกว่า 500,000 บาท จะใช้สิทธิ์ได้ตามยอดจริง

การมี Thai ESGX เข้ามา ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ถือครอง LTF และต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมในปี 2568 นี้

ข้อควรระวัง: รายละเอียดและเงื่อนไขการลงทุน รวมถึงระยะเวลาที่แน่นอนในการเปิดขาย Thai ESGX อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย ควรตรวจสอบข้อมูลจากบลจ. ที่คุณสนใจลงทุน หรือจากเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. / ตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

สรุป: Thai ESG ปังหรือพังสำหรับคุณในปี 2568?

กองทุน Thai ESG ถือเป็นตัวเลือกที่ "ปัง" สำหรับผู้ที่:

  • ต้องการ ลดหย่อนภาษี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีวงเงินลดหย่อนที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 จาก Thai ESGX
  • สนใจ ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทย ที่มีแนวคิด ESG โดยเฉพาะหุ้นที่มีคุณภาพและมีแนวโน้มผลตอบแทนดีกว่า SET Index โดยรวมในบางช่วงเวลา
  • ต้องการลงทุนระยะกลางที่มี ระยะเวลาถือครองสั้นกว่า SSF/RMF
  • ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการ สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย
  • เป็นผู้ถือ LTF เดิม ที่ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีต่อเนื่องหรือสับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มวงเงินลดหย่อน


อย่างไรก็ตาม หากคุณกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในระยะยาว หรือต้องการกระจายความเสี่ยงไปสู่สินทรัพย์ต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในอดีต กองทุน Thai ESG ที่เน้นลงทุนในไทยเป็นหลัก อาจไม่ใช่ทางเลือกเดียวที่คุณควรพิจารณา คุณอาจต้องพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีความหลากหลายและตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือ: ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุน Thai ESG หรือกองทุนลดหย่อนภาษีอื่น ๆ คุณควร ศึกษาข้อมูลกองทุนแต่ละกองอย่างละเอียด ทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต (ซึ่งไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต) และที่สำคัญที่สุดคือ ประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ เพื่อให้การลงทุนของคุณ "ปัง" อย่างแท้จริง!

คุณพร้อมที่จะให้ Thai ESG เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนภาษีและการลงทุนของคุณในปี 2568 แล้วหรือยัง? หรือหากยังไม่พร้อมลงทุน แถมยังมีเรื่องต้องใช้เงินอีก ลองพิจารณาแอปกู้เงินของสินเชื่อส่วนบุคคลพรอมิสเป็นหนึ่งในตัวเลือกการกู้เงินของคุณ


ระบบปฏิบัติการ iOS: https://bit.ly/PROMISEAppiOS
ระบบปฏิบัติการ Android : https://bit.ly/PROMISEAppAndroid


กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว ดอกเบี้ย 15% - 25% ต่อปี
*กรุณาศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนการสมัครที่ promise.co.th
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
 

Tags: กองทุน ลดหย่อนภาษี หุ้นกู้ ภาษี

พร้อมรู้กับพรอมิส