หุ้นกู้ คืออะไร รวมทุกเรื่องสำคัญต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้
การลงทุนในตลาดการเงินมีหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจคือ หุ้นกู้ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับหุ้นกู้ คืออะไร มีกี่ประเภท พร้อมข้อดี และความเสี่ยงที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
หุ้นกู้ คืออะไร
หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพื่อระดมทุนไปใช้ในกิจการต่าง ๆ เช่น การขยายธุรกิจ การซื้อเครื่องจักร หรือการก่อสร้างโรงงาน เมื่อคุณซื้อหุ้นกู้ คุณจะมีสถานะเป็น "เจ้าหนี้" ของบริษัทนั้น โดยบริษัทจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด และคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดอายุของหุ้นกู้
หุ้นกู้ มีกี่ประเภท
หุ้นกู้ สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะและเงื่อนไข ซึ่งทำให้นักลงทุนมีทางเลือกที่หลากหลายตามความต้องการและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
แบ่งตามวิธีการจ่ายดอกเบี้ย
การจ่ายดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นกู้ ซึ่งมีวิธีการจ่ายที่แตกต่างกันไป
1. หุ้นกู้ชนิดจ่ายดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate Bond)
หุ้นกู้ ประเภทนี้เป็นที่นิยมมากในประเทศไทย โดยจะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ตลอดอายุของหุ้นกู้ ตามงวดที่กำหนด เช่น ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์รายได้ที่จะได้รับอย่างแน่นอน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ
2. หุ้นกู้ชนิดดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bond)
หุ้นกู้ ประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปตามดัชนีอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ หรืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีของธนาคาร (MLR หรือ MRR) ทำให้ดอกเบี้ยที่ได้รับอาจสูงขึ้นหรือลดลงตามสภาวะตลาด เหมาะกับช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น
3. หุ้นกู้ชนิดไม่จ่ายดอกเบี้ย (Zero-coupon Bond)
หุ้นกู้ ชนิดนี้ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยระหว่างงวด แต่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อ (ซึ่งต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว) กับมูลค่าที่ได้รับคืนเมื่อครบกำหนด เช่น ซื้อในราคา 900 บาท แต่ได้รับเงินคืน 1,000 บาทเมื่อครบกำหนด
แบ่งตามการมีประกัน
ความปลอดภัยของเงินลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา หุ้นกู้ แต่ละประเภทมีระดับความปลอดภัยที่แตกต่างกัน
1. หุ้นกู้มีประกัน (Secured Bond)
หุ้นกู้ ประเภทนี้มีสินทรัพย์ค้ำประกัน เช่น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับมูลค่าของหุ้นกู้ ที่ออกขาย ทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงต่ำกว่าในกรณีที่บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้ เนื่องจากสามารถนำสินทรัพย์ค้ำประกันมาขายเพื่อชำระหนี้ได้
2. หุ้นกู้ไม่มีประกัน (Unsecured Bond)
หุ้นกู้ ประเภทนี้ไม่มีสินทรัพย์ใดค้ำประกัน นักลงทุนจะพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ และความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งหุ้นกู้ ประเภทนี้มักให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นกู้มีประกันเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
แบ่งตามสิทธิการเรียกร้อง
สิทธิในการเรียกร้องทรัพย์สินของบริษัทในกรณีที่บริษัทล้มละลายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา
1. หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Bond)
ผู้ถือหุ้นกู้ ประเภทนี้จะได้รับสิทธิในการชำระหนี้หลังจากเจ้าหนี้สามัญอื่น ๆ และผู้ถือหุ้นกู้มีประกัน ในกรณีที่บริษัทล้มละลายหรือเลิกกิจการ ทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ก็จะได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
2. หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bond)
ผู้ถือหุ้นกู้ ประเภทนี้มีสิทธิเรียกร้องเท่ากับเจ้าหนี้สามัญอื่น ๆ และมีสิทธิเหนือกว่าผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ และผู้ถือหุ้นสามัญ ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
ข้อดีของการลงทุนในหุ้นกู้
การลงทุนในหุ้นกู้ มีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่ต้องการความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
1. เป็นแหล่งสร้างรายได้ประจำ
หุ้นกู้ เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอผ่านการจ่ายดอกเบี้ยตามงวดที่กำหนด เช่น ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน ทำให้นักลงทุนสามารถวางแผนการเงินได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้เสริมที่แน่นอน หรือผู้เกษียณที่ต้องการรายได้ประจำ
2. ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล
อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ มักสูงกว่าเงินฝากธนาคารและพันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ
3. มีความปลอดภัยของเงินลงทุน
หากเลือกลงทุนในหุ้นกู้ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade) ก็ถือว่ามีความปลอดภัยของเงินลงทุนสูง มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินต้นคืนต่ำ เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ
4. ซื้อขายเปลี่ยนมือได้ง่าย
หุ้นกู้ ที่จดทะเบียนในตลาดรองสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ก่อนวันครบกำหนด ทำให้นักลงทุนมีสภาพคล่องในการลงทุน สามารถแปลงเป็นเงินสดได้เมื่อมีความจำเป็น แม้ว่าราคาอาจจะผันผวนตามสภาวะตลาดก็ตาม
5. ใช้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงการลงทุน
การลงทุนในหุ้นกู้ ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ โดยการผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น กับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างหุ้นกู้ ทำให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุลและลดความผันผวนโดยรวม
4 ความเสี่ยงที่ต้องรู้ก่อนลงทุนหุ้นกู้
แม้ว่าหุ้นกู้ จะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
1. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)
เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ราคาหุ้นกู้ ในตลาดรองจะลดลง ทำให้หากต้องการขายหุ้นกู้ ก่อนครบกำหนด อาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ซื้อมา นอกจากนี้ ยังเสียโอกาสที่จะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
2. ความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk)
ราคาหุ้นกู้ ในตลาดรองอาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยในตลาด อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้ หรือสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้หากขายหุ้นกู้ ก่อนครบกำหนด อาจได้รับเงินมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ลงทุนไป
3. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)
คือความเสี่ยงที่ผู้ออกหุ้นกู้ อาจไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นได้ตามกำหนด ซึ่งอาจเกิดจากผลประกอบการที่ไม่ดี หรือปัญหาสภาพคล่องของบริษัท ทำให้นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ การพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ
4. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)
หุ้นกู้ บางรุ่นอาจมีสภาพคล่องต่ำในตลาดรอง ทำให้ยากต่อการซื้อขาย หรืออาจต้องซื้อขายในราคาที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะหุ้นกู้ ของบริษัทขนาดเล็กหรือหุ้นกู้ ที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย นักลงทุนอาจต้องถือหุ้นกู้ จนครบกำหนดหากไม่สามารถขายในตลาดรองได้
สรุปการลงทุนในหุ้นกู้
การลงทุนในหุ้นกู้ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยง การศึกษาข้อมูลและพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับผู้ที่มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องใช้เงิน พรอมิสพร้อมให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่อนุมัติทันใจใน 1 ชั่วโมง* วงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท* สมัครง่าย ใช้เอกสารน้อย ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ด้วยดอกเบี้ย 15% - 25% ต่อปี กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว เพื่อให้คุณจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการ
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
ดอกเบี้ย 15%-25% ต่อปี
*กรุณาศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนการสมัครที่ promise.co.th
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
*หากยื่นเอกสารครบถ้วนภายใน 18:00 น. และไม่มีเหตุขัดข้องด้านเอกสารหรือระบบ จะสามารถอนุมัติได้ภายใน 1 ชั่วโมง หรือภายในวันถัดไป